รัฐเนวาดาพบวัวติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ร้ายแรงที่ไม่เคยพบในสัตว์มาก่อน มีอาการในระบบทางเดินหายใจ

รัฐเนวาดาพบวัวติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ร้ายแรงที่ไม่เคยพบในสัตว์มาก่อน มีอาการในระบบทางเดินหายใจ

เจ้าหน้าที่ด้านการเกษตรของรัฐเนวาดายืนยันเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ฝูงวัวอย่างน้อย 4 ฝูงในรัฐเนวาดามีผลตรวจเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ H5N1 เป็นบวก ซึ่งไม่เคยพบในวัวมาก่อน และมีรายงานว่ามีอาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอและจาม

เชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ดังกล่าวถูกเรียกโดยนักวิทยาศาสตร์ว่าเป็นเชื้อสายพันธุ์ D1.1 ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับกรณีการเสียชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อในรัฐลุยเซียนาเมื่อปีที่แล้วหลังจากสัมผัสกับนกป่วย เชื้อสายพันธุ์ D1.1 เพิ่งพบในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดในนกป่าและฟาร์มสัตว์ปีกทั่วอเมริกาเหนือ

อาการของผู้ที่ติดเชื้อจากสายพันธุ์ D1.1 มีแนวโน้มรุนแรงกว่าสายพันธุ์ไข้หวัดนกก่อนหน้านี้ที่เคยระบาดในวัวคือสายพันธุ์ B3.13 โดยสายพันธุ์ B3.13 ส่งผลให้แสดงอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ตาแดงและมีไข้ในผู้ที่ติดเชื้อหลังจากสัมผัสกับวัวป่วย

งานวิจัยระบุว่า สายพันธุ์ B3.13 มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดโรครุนแรงในมนุษย์น้อยกว่าเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์อื่น ๆ ที่พบในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อสัตว์ชนิดอื่น เช่น แมวเลี้ยงมักเสียชีวิตหลังจากที่สัมผัสกับอาหารหรือนมที่ปนเปื้อนเชื้อ B3.13 ซึ่งความเสี่ยงต่อโรคนี้มีความแตกต่างกัน

การค้นพบการแพร่กระจายของเชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ D1.1 ในวัว ยังขัดแย้งกับทฤษฎีที่เคยเสนอโดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและเกษตรของสหรัฐฯ ที่มีการสันนิษฐานว่า การติดเชื้อข้ามชนิดสัตว์ของไวรัสจากนกป่ามาสู่วัวเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากและไม่เกิดการแพร่กระจายต่อได้

ก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่เกิดการติดเชื้อข้ามชนิดสัตว์ครั้งแรกในรัฐเท็กซัสในช่วงปลายปี 2566 การติดเชื้อไข้หวัดนกในวัวทั้งหมดล้วนมีความเชื่อมโยงกับสายพันธุ์ B3.13 เท่านั้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำมาใช้อ้างอิงเป็นหลักฐานว่าไม่มีไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายจากนกไปสู่วัวซ้ำ ๆ

สำนักงานการตรวจสอบด้านสุขภาพพืชละสัตว์ ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA APHIS) แถลงเมื่อวันพุธว่า “การตรวจพบเชื้อครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อกลยุทธ์ในการกำจัดเชื้อไข้หวัดนกชนิดก่อโรครุนแรง” อ้างถึงแผนของรัฐบาลกลางในการหยุดยั้งการระบาดของ HPAI (Highly Pathogenic Avian Influenza) โดย HPAI เป็นชื่อเรียกไข้หวัดนกชนิดก่อโรครุนแรงที่มีการแพร่ระบาดอย่างไม่เคยมีมาก่อนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นอกเหนือจากภัยคุกคามต่อสุขภาพมนุษย์แล้ว การถ่ายทอดเชื้อข้ามชนิดสัตว์ของเชื้อสายพันธุ์ D1.1 จากนกป่าสู่ไก่เลี้ยงยังทำให้ราคาไข่ทั่วประเทศสูงขึ้นอย่างมากเป็นประวัติการณ์

จนถึงปัจจุบัน มีการยืนยันว่ามีฝูงวัวเกือบ 1,000 แห่งติดเชื้อไข้หวัดนก ครอบคลุม 16 รัฐในสหรัฐฯ โดยเคสล่าสุดส่วนใหญ่อยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

วัวสี่ฝูงที่พบว่าติดเชื้อสายพันธุ์ D1.1 ในรัฐเนวาดาตั้งอยู่ใน เทศมณฑลเชอร์ชิลล์ (Churchill County) ตามรายงานของโฆษกกรมวิชาการเกษตรของรัฐ

ในเดือนธันวาคม มีรายงานพบเชื้อไข้หวัดนกในฝูงวัวที่ เทศมณฑลไน (Nye County) ของรัฐเนวาดา แต่ภายหลังพบว่าวัวเหล่านั้นติดเชื้อสายพันธุ์ B3.13

โฆษกของรัฐเนวาดากล่าว่า ในขณะนี้มีการกักกันวัวในอีกสองฝูงในเทศมณฑลเชอร์ชิลล์ เพื่อรอผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการของ USDA

ทั้งนี้ โฆษกกรมวิชาการเกษตรรัฐเนวาดา เซียรา เรสเซิล กล่าวเกี่ยวกับอาการของสัตว์ป่วยว่า “อาการของวัวที่ติดเชื้อ H5N1 D1.1 คล้ายกับที่พบในสายพันธุ์ B3.13 เช่น มีไข้ กินอาหารน้อยลง ผลิตน้ำนมลดลง และมีอาการทางเดินหายใจเล็กน้อย (ไอ จาม น้ำมูกไหล)”

การยืนยันการติดเชื้อครั้งนี้เป็นผลจากการสอบสวนของรัฐ หลังจากพบว่า ถังเก็บน้ำนมที่รับน้ำนมจากวัวที่ติดเชื้อให้ผลเป็นบวกต่อไวรัส

“USDA APHIS กำลังทำงานร่วมกับกรมวิชาการเกษตรรัฐเนวาดา โดยดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมในฟาร์ม ทดสอบตัวอย่าง และรวบรวมข้อมูลทางระบาดวิทยา เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และจำกัดการแพร่ระบาดของโรค” USDA ระบุ

ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามีคนงานในฟาร์มจำนวนเท่าไรที่อาจสัมผัสกับเชื้อ D1.1

โฆษกกรมสาธารณสุขรัฐเนวาดาได้ขอข้อมูลไปยัง สำนักงานสาธารณสุขเขตภาคกลางของรัฐเนวาดา แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า จากเคสผู้ป่วยไข้หวัดนก 67 รายที่ได้รับการยืนยันตั้งแต่ปี 2024 มี 40 รายที่เชื่อมโยงกับการสัมผัสวัวนมป่วย ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่มาจากการสัมผัสสัตว์ปีกในฟาร์มที่ติดเชื้อ

ในการแถลงข่าวเมื่อเดือนที่แล้ว กรมวิชาการเกษตรของรัฐเนวาดาอ้างถึงข้อมูลของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ ว่า “ความเสี่ยงต่อมนุษย์ยังคงอยู่ในระดับต่ำ” และ “กำลังทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของรัฐและเทศมณฑลเพื่อปกป้องสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน”

อย่างไรก็ตาม โฆษกของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ ยังไม่ได้ตอบคำถามว่าการแพร่กระจายของเชื้อสายพันธุ์ D1.1 จะส่งผลต่อการประเมินความเสี่ยงนี้หรือไม่

ปีเตอร์ โรล์ฟ สัตวแพทย์ประจำรัฐ กล่าวเน้นว่า “สิ่งสำคัญคือ ต้องเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยทางชีวภาพของสัตว์ เพื่อช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคและปกป้องทั้งสัตว์และคนงาน”