พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์รุนแรงรายแรกนอกทวีปแอฟริกา

พบผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์รุนแรงรายแรกนอกทวีปแอฟริกา

สำนักงานสาธารณสุขของประเทศสวีเดนได้รายงานเหตุการณ์กรณีการพบผู้ป่วยโรคเอ็มพ็อกซ์ (Mpox) หรือโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์รุนแรงรายแรกนอกทวีปแอฟริกา

มีการรายงานว่า ผู้ป่วยติดเชื้อในช่วงที่พำนักอยู่ในแอฟริกา ซึ่งขณะนี้มีการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสเอ็มพ็อกซ์เคลด 1

มีข่าวรายงานภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากองค์การอนามัยโลก ประกาศให้การระบาดของโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์รุนแรงในพื้นที่บางส่วนของแอฟริกากลายเป็นสภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ

ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตราว 450 ราย ในช่วงเริ่มต้นการระบาดในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและโรคได้แพร่กระจายไปในพื้นที่แอฟริกาตอนกลางและทางตะวันออก

ตามที่ โอลิเวีย วิกเซลล์ รักษาการหัวหน้าสำนักงานสาธารณสุขสวีเดนให้ข้อมูล ผู้ติดเชื้อได้เข้ารับการรักษาในพื้นที่สต็อกโฮล์มและแม้ว่าจะมีการเข้ารับการดูแลในประเทศสวีเดนก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความเสี่ยงต่อประชาชนทั่วไปในวงกว้าง

“ผู้ป่วยเป็นผู้ที่ได้รับเชื้อระหว่างการพักอาศัยในพื้นที่แอฟริกาซึ่งมีการระบาดของโรคฝีดาษลิงสายพันธุ์รุนแรง เคลด 1” เธอกล่าวในการแถลงข่าว

โรคเอ็มพ็อกซ์ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อโรคฝีดาษลิงมีการแพร่เชื้อผ่านการสัมผัสอย่างใกล้ชิด เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสผิวหนัง และการพูดคุยหรือหายใจอย่างใกล้ชิดกับผู้อื่น โรคนี้ทำให้เกิดกลุ่มอาการคล้ายไข้หวัด มีรอยโรคที่ผิวหนังและอาจเสียชีวิตได้โดยผู้ป่วยจำนวน 4 รายจาก 100 รายมีแนวโน้มเสียชีวิต โรคนี้พบบ่อยในเขตป่าฝนเขตร้อนทางตะวันตกและตอนกลางของทวีปแอฟริกาและการติดเชื้อหลายพันรายทุกปี

ในปัจจุบัน มีการระบาดของโรคฝีดาษลิงหลายแห่งเกิดขึ้นพร้อมกัน และบางส่วนได้รับการกระตุ้นจากชนิด 1b ซึ่งเป็นชนิดที่รุนแรงและเพิ่งถูกระบุเมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา

ในกรณีของสวีเดนที่พบโรคฝีดาษลิง 1b ซึ่งเป็นชนิดย่อยของเคลด 1 ตั้งแต่มีการพบเคลด 1b ครั้งแรกในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกแล้วก็มีการยืนยันผู้ป่วยในประเทศบูรุนดี เคนยา และรวันดา ก่อนที่จะพบเคสใหม่ในประเทศสวีเดน

ในขณะที่เชื้อไวรัสเคลด 2 ได้เป็นสาเหตุของสภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขในปี 2565 ซึ่งโรคค่อนข้างไม่รุนแรงและพบผู้ป่วยประมาณ 300 รายในสวีเดนตลอดช่วงที่ผ่านมา

องค์การอนามัยโลกและยุโรปกล่าวว่ามีการร่วมมือในการทำงานเชิงรุกร่วมกับหน่วยงานเชิงสุขภาพของสวีเดนในด้านที่ “ทำอย่างไรจะจัดการกรณีผู้ป่วยยืนยันการติดเชื้อเอ็มพ็อกซ์เคลด 1b ได้ดีที่สุด”

ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกมีการร้องขอให้ประเทศอื่น ๆ ดำเนินมาตรการการอย่างรวดเร็วและโปร่งใส เช่นเดียวกับประเทศสวีเดน เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่จะพบโรค “จากผู้ติดเชื้อไวรัสเคลด 1 ที่เดินทางเข้ามาในภูมิภาคยุโรปในช่วงหลายวันหรือหลายสัปดาห์ข้างหน้า” เพิ่มขึ้นอีก

สำนักงานสาธารณสุขสวีเดน กล่าวว่า การระบาดที่รุนแรงมากขึ้นน่าจะเชื่อมโยงกับ “การเพิ่มขึ้นของโรคที่รุนแรงมากขึ้นและอัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้น”

ดร.โยนาส อัลบานาซ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสเอ็มพ็อกซ์จากสถาบันเพอร์ไบรจ์ (Pirbright Institute) กล่าวว่าผู้ป่วยรายแรกนอกทวีปแอฟริกาเป็นเรื่องน่ากังวลเพราะมันอาจหมายถึงการแพร่โรค “อาจมีอัตราสูงกว่าที่เราทราบเมื่อวานนี้”

ดร. ไบรอัน เฟอร์กูสัน รองศาสตราจารย์ด้านภูมิคุ้มกันวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เห็นด้วยกับการที่มันเป็น “พัฒนาการที่น่ากังวลอย่างชัดเจน” แต่ไม่น่าแปลกใจเนื่องจากความรุนแรงและการแพร่กระจายของการระบาดในแอฟริกา

มีวัคซีนพร้อมสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะมีการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านกังวลว่าปริมาณวัคซีนและงบประมาณไม่เพียงพอในการแจกจ่ายไปยังผู้ที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนมากที่สุด

อัตราการเสียชีวิตจากไวรัสเคลด 1b ในประเทศสวีเดนจะไม่สูงเหมือนที่พบในพื้นที่แอฟริกาเนื่องจากคุณภาพการบริการสุขภาพที่ดีกว่าในทวีปยุโรป

อย่างไรก็ตาม ดร.เฟอร์กูสัน กล่าวว่า มันน่าจะมีผู้ป่วยมากกว่านี้ในทวีปยุโรปและพื้นที่อื่นของโลก “เนื่องจากยังไม่มีมาตรการใดนำมายับยั้งผู้ป่วยนำเข้าพื้นที่ในขณะนี้”

ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งสหภาพยุโรปแจ้งว่าอาการมักปรากฏให้เห็นภายใน 6 – 13 วันภายหลังการติดเชื้อ โดยจะมีไข้และปวดศีรษะ มีผื่นแดงหรือแผล และปวดกล้ามเนื้อ

บุคคลทั่วไปมักแสดงอาการในระดับเบาจนถึงปานกลางและจะหายได้อย่างเต็มที่ แต่ในรายที่มีความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันจะมีความเสี่ยงสูงกว่า

แม้ว่าข่าวการพบกรณีแรกนอกแอฟริกาอาจทำให้เกิดความตื่นตระหนก แต่มันเป็นสิ่งที่คาดไว้ เช่นเดียวกับการระบาดของโรคอื่นๆ การใช้มาตรการระหว่างประเทศอย่างรวดเร็วสามารถช่วยหยุดยั้งการแพร่ระบาดต่อไปได้

SOURCE: https://www.bbc.com/news/articles/c4gqr5lrpwxo

Image credit: Reuters/Arlette Bashizi