เซเนกัลเริ่มการตอบโต้ที่ครอบคลุมต่อการระบาดของไข้ริฟต์แวลลีย์
เซเนกัลได้ประกาศแผนการตอบโต้ระดับประเทศแบบบูรณาการหลายภาคส่วนเพื่อรับมือกับการระบาดของโรคไข้ริฟต์แวลลีย์ (Rift Valley fever, RVF) ที่กำลังเพิ่มขึ้น พร้อมเตือนประชาชนไม่ให้ใช้ยารักษาเองโดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
รัฐบาลเซเนกัลได้เปิดตัวแผนตอบสนองแบบบูรณาการหลายภาคส่วน โดยมีหน่วยงานจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตร กระทรวงสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งรวมถึงความพยายามในการเฝ้าระวัง การควบคุมยุง และการฉีดวัคซีนปศุสัตว์ ซึ่งได้มีการประกาศในการแถลงข่าวเมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม ณ กรุงดาการ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและกิจการสังคม นายอิบราฮิมา ซี กล่าวว่า “โรคนี้เป็นโรคที่อยู่ในจุดเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพของคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการรับมือจึงต้องอาศัยความร่วมมือร่วมกัน”
เขากล่าวว่า นับตั้งแต่เริ่มการระบาดในเดือนกันยายน รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการโรคระบาดทั่วประเทศ เพิ่มการรักษาและการตรวจจับผู้ป่วย และได้เร่งรัดการรณรงค์ฉีดวัคซีนให้กับปศุสัตว์
ตามที่รัฐมนตรีกล่าว มีการปฏิบัติการควบคุมยุงในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งรวมถึงการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ การใช้มุ้งชุบสารเคมี และการใช้โดรนเพื่อระบุแหล่งน้ำนิ่ง นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในภาษาท้องถิ่น เพื่อเผยแพร่ข้อมูลในตลาด หมู่บ้าน และพื้นที่เกษตรกรรม
หน่วยงานทางการได้เพิ่มการเฝ้าระวังในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ เซนต์หลุยส์ มาตอม ลูชา ทีแอส์ และตอมบากูดา
นายซีกล่าวว่า “ความพยายามร่วมกันเช่นนี้ได้ช่วยชะลอการแพร่กระจายของโรคระบาดแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในระดับสูงต่อไป”
ผลกระทบต่อมนุษย์และสัตว์
ณ วันที่ 20 ตุลาคม กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการทดสอบตัวอย่างไป 1,657 ตัวอย่าง ยืนยันผู้ป่วยในมนุษย์แล้ว 258 ราย โดยในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 21 ราย และผู้ป่วยที่หายแล้ว 192 ราย
ในสัตว์มีการยืนยันผู้ติดเชื้อ 57 ราย ขณะที่ทางการรายงานว่าได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้สัตว์มากกว่า 14,000 ตัว แล้ว
นาย โบลี ดิออป หัวหน้าศูนย์จัดการเหตุการณ์แห่งชาติของเซเนกัล (Senegal’s National Incident Management System, SGI) ระบุว่า ได้มีการจัดตั้ง คณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อให้คำแนะนำด้านวิชาการแก่การตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยรวมผู้เชี่ยวชาญด้าน โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (Zoonoses) มาร่วมวิเคราะห์ข้อมูลและให้ข้อเสนอแนะแนวทางควบคุมโรค
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ และทีมเทคนิคในภาคสนามได้ช่วย ชะลอการแพร่ระบาดของโรค ทำให้สามารถ ตรวจพบผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น และ ให้การรักษาผู้ป่วยอาการรุนแรงได้ตั้งแต่ระยะต้น
การซื้อยามากินเอง
อย่างไรก็ตาม นายดิออปเตือนว่า การซื้อยามากินเองและการมาพบแพทย์ล่าช้า เป็นปัจจัยที่ทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตหลายราย
เขากล่าวว่า “เราขอเรียกร้องให้ประชาชนตื่นตัว ใครก็ตามที่มีอาการควรไปพบแพทย์ทันที”
“เราขอแนะนำอย่างยิ่งให้หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง เนื่องจากยาบางชนิด โดยเฉพาะยาต้านการอักเสบที่ขายในตลาด อาจทำให้อาการแย่ลงได้”
การสอบสวนที่ดำเนินการโดยทีมศูนย์จัดการเหตุการณ์แห่งชาติของเซเนกัลในภาคเหนือของประเทศพบว่า การเสียชีวิตหลายรายเชื่อมโยงกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ล่าช้าเกินไปและภาวะแทรกซ้อนจากการพยายามรักษาตนเอง
“บางรายเสียชีวิตจากภาวะเลือดออก บางรายเสียชีวิตจากภาวะอวัยวะล้มเหลว” นายดิออปกล่าว
“ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยหลายรายมาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป ซึ่งยืนยันอีกครั้งว่าการซื้อยามากินเองเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้อาการของโรคจากไวรัสนี้แย่ลง”
การติดต่อของโรค
กระทรวงสาธารณสุขเซเนกัลเน้นย้ำว่า RVF ติดต่อหลัก ๆ ผ่านการถูกยุงกัด หรือการสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยไม่ติดต่อระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
นายดิออปเน้นย้ำถึงความสำคัญของมาตรการป้องกัน โดยกล่าวว่า “ยังไม่มีวัคซีนสำหรับมนุษย์ แต่มีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสำหรับสัตว์”
มอว์ลูท ดิยัลโล นักกีฏวิทยาจากสถาบันปาสเตอร์แห่งดาการ์กล่าวว่า ได้ให้ความสำคัญกับความพยายามในการฉีดวัคซีนสัตว์ในตลาดค้าปศุสัตว์ แหล่งน้ำ และตามเส้นทางที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายปล่อยสัตว์หากิน
ลำดับความสำคัญของการวิจัย
หน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UK Health Security Agency) ได้จัดการประชุมปรึกษาหารือทางวิทยาศาสตร์แบบเปิดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (14 ตุลาคม) ร่วมกับสถาบันด้านสาธารณสุขระดับโลกและแอฟริกา เพื่อระบุลำดับความสำคัญด้านการวิจัย ที่จะสนับสนุนการตอบสนองต่อการระบาดของโรคในเซเนกัล
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อที่เข้าร่วมการประชุมออนไลน์ระบุว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนสำหรับการจัดหาชุดตรวจวินิจฉัยแบบรวดเร็ว (point-of-care diagnostic tests) เตรียมไว้ ณ จุดดูแลรักษาเพื่อจัดการกับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายเอมมานูแอล อาโกโก ผู้อำนวยการโปรแกรมภัยคุกคามจากโรคระบาดขององค์กร FIND ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่มุ่งกระตุ้นนวัตกรรมการวินิจฉัย กล่าวว่า การวิเคราะห์ข้อมูลขององค์กรเกี่ยวกับความพร้อมของชุดตรวจวินิจฉัยเชิงพาณิชย์สำหรับ RVF พบ “ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ในชุดตรวจ ณ จุดดูแล”
ปัจจุบัน เซเนกัลและที่อื่น ๆ กำลังใช้การตรวจพีซีอาร์ซึ่งต้องมีการนำตัวอย่างไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยผู้ป่วยต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม นายอาโกโกกล่าวว่าชุดตรวจแบบแลเทอรัลโลว์ (Lateral Flow, LFA) และชุดตรวจแอนติเจนซึ่งให้ผลลัพธ์โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ห้องปฏิบัติการเฉพาะทางนั้นกำลังขาดแคลน
“โดยรวมแล้ว… ชุดตรวจในตลาดยังมีจำนวนจำกัด” เขากล่าว
“เรามีชุดตรวจที่พัฒนาโดยห้องปฏิบัติการอยู่บ้าง แต่เมื่อพูดถึงชุดตรวจ LFA หรือชุดตรวจแอนติเจนนั้นแทบจะไม่มีเลย” เขาแจ้งในการประชุม พร้อมเสริมว่าปัจจุบันยังไม่มีชุดตรวจใหม่ที่กำลังถูกพัฒนาขึ้น
นายมูสซา จาญน์ นักวิจัยด้านไวรัสวิทยาจากสถาบันปาสเตอร์แห่งดาการ์ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงความกังวลเหล่านี้ “RVF มักแพร่ระบาดในพื้นที่ชนบท… ดังนั้น สิ่งที่เราต้องการคือเครื่องมือ ณ จุดดูแลที่แท้จริง” เขากล่าว
สำหรับนายจาญน์นั้นการเฝ้าติดตามจีโนมิกส์อย่างต่อเนื่องถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง “นั่นคือกุญแจสำคัญในการทำให้ชุดตรวจมีความทันสมัย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้ทำในช่วงการระบาดครั้งนี้ที่ IPD เพื่อให้มั่นใจว่าเรามีเครื่องมือทันสมัยทั้งในแง่ของความไวและความจำเพาะ” เขากล่าวเสริม
ความท้าทายหนึ่งในการตอบสนองต่อโรคนี้คือ การรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์ และการรับรองว่ามีการปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยทางชีวภาพอย่างเข้มงวดเพื่อหยุดการแพร่กระจายของโรค
ในประเทศยูกันดา นักวิจัยได้พัฒนา “ห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่” พร้อมด้วย “ตู้ถุงมือ” (glove box) ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มระดับความปลอดภัยทางชีวภาพ ตามรายงานของสเตเฟ่น บาลีนานดี นักวิจัยจากสถาบันวิจัยไวรัสยูกันดา กล่าวว่า
“กล่องนี้มีขนาดเล็ก ให้สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย ใช้งานง่าย ไม่ต้องฝึกอบรมมาก และแทบไม่ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลจำนวนมาก”
เขากล่าวเสริมว่า “ในสถานการณ์ของเรา เราสามารถจัดการกับปัญหาความปลอดภัยทางชีวภาพในระดับชุมชนโดยใช้ตู้ถุงมือนั้นได้”







